เทศน์เช้า

ความเชื่อเป็นของขวัญ

๑ ม.ค. ๒๕๔๔

 

ความเชื่อเป็นของขวัญ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ปีใหม่ชีวิตใหม่ เราน่าดีใจนะ เรามีชีวิตพ้นไปอีก ๑ ปี แล้ววันปีใหม่เราจะให้ของขวัญอะไรกับเราล่ะ?

เราต้องให้ของขวัญกับเราเองนะ ชีวิตนี้ เริ่มต้นปีใหม่เราจะทำอย่างไรไง ถ้าความเชื่อของเรา ถ้าเราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในแก้วสารพัดนึก ฟังสิ! รัตนตรัยนี่เป็นแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เราเชื่อไหม? แล้วเรานึกได้ไหม? เราจะมีความสุขในแก้วสารพัดนึก เราจะนึกขึ้นมาได้หรือเปล่า?

เรานึกกันไม่ได้ เรานึกกันไม่ออกเพราะอะไร? เพราะความเชื่อเราครึ่งๆ กลางๆ ไง ความเชื่อเราไม่เชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไง ถ้าความเชื่อคือความศรัทธา ถ้าความศรัทธาแล้วทำได้จริงนะ มันจะเกิดผลได้จริงๆ ศรัทธาความเชื่ออันนี้จะเป็นของขวัญของเรา ถ้าใจเราปักลงในความเชื่ออันนี้ เราจะมีของขวัญให้กับเรา ถ้าเรามีความเชื่อขึ้นมา

ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล เห็นไหม แล้วจะทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายขึ้น มีสมาธิขึ้นมาแล้วเกิดปัญญา เกิดสมาธินะ มีสมาธิเกิดปัญญาอันพาให้หลุดพ้น แต่ที่เราไม่เชื่อ เห็นไหม ศีลนี่ให้บริสุทธิ์ เกิดสมาธิที่บริสุทธิ์มันผุดผ่องขึ้นไป แล้วเกิดปัญญา ภาวนามยปัญญา

แต่ถ้าเราไม่เชื่อ เราครึ่งๆ กลางๆ มันเกิดปัญญาไง แต่ปัญญาในทางโลก ปัญญาในการไขว้เขว เราว่ากัน เวลาเราพูดกันในธรรม เห็นไหม ปัญญาเท่านั้นสามารถชำระกิเลสได้ ถ้าเป็นสมาธิเป็นความกดไว้ ไม่สามารถชำระกิเลสได้หรอก ต้องใช้ปัญญา แต่ปัญญาในอะไรล่ะ?

ปัญญารวบยอดด้วยกิเลส เห็นไหม กิเลสมันรวบยอดของปัญญาไว้ แล้วมันแผ่กิ่งก้านสาขาของความคิดออกไปอยู่ในอำนาจของกิเลสทั้งหมด เพราะอะไร? เพราะว่าเราไม่ทำความสงบขึ้นมาก่อน ต้องทำความสงบเข้ามาก่อน เห็นไหม ไอ้รวบยอดอันนั้นมันไม่มีพลังงานพอ

สิ่งที่รวบยอดคือกิเลสความพอใจของเรา มันจะคิดตามความพอใจของเรา ความพอใจคือตัวตนของเรา มันจะสงบตัวลง ความสงบตัวลง ปัญญาอันนั้นมันถึงจะก้าวเดินออกไปได้ด้วยปัญญาของธรรม เพราะมีสมาธิมันถึงมีปัญญา ไอ้ความเชื่อก็เหมือนกัน ถ้าปัญญาเราหมุนอยู่ ความเชื่อของเรามันไม่จริง เราเชื่อในอะไร?

ถึงบอกแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถึงได้เปล่งอุทานว่า ท่านสิ้นกิเลสแล้ว เป็นพระอรหันต์ด้วย เป็นองค์ศาสดาด้วย เห็นไหม ต้องชำระกิเลสสิ้นออกไปแล้วถึงเปล่งว่า “สิ้นกิเลสไป” พอสิ้นกิเลสไปมันก็หมด ไอ้ยอดของความเชื่ออันนั้นมันก็หมดไป แล้วท่านตรัสรู้อะไร? ตรัสรู้ในธรรม ธรรมที่ว่าเราแสวงหากันอยู่นี้

ถึงว่าแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระสงฆ์.. พระสงฆ์คืออัครสาวกต่างๆ เห็นไหม พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ตรัสรู้ธรรมอันเดียวกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก พระสงฆ์ที่ว่าเป็นแก้วสารพัดนึกเป็นผู้ที่ชี้นำเรา สงฆ์นี้หมายถึงสงฆ์ที่เป็นอริยสงฆ์ขึ้นไป สมมุติสงฆ์เราไม่คิดถึง

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราเชื่อ เราเชื่อในอะไร? เชื่อในธรรมะความเป็นจริงนั้นนะ อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ผู้ใดปฏิบัติถึงแล้วต้องถึงได้หมด ถ้าเราเชื่อๆ ตรงนี้ไง เชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อว่าผลมีจริงไง แต่เราไม่เชื่อแบบว่า เขาว่าคนมีศรัทธานี่จะมีแต่ความงมงาย เพราะเชื่อเรื่องงมงาย เชื่ออย่างอื่นไม่เชื่องมงาย..

แต่เชื่อผลของปัญญาคุณเมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไม่งมงาย ไม่งมงายในอะไร มันพิสูจน์ได้ในหัวใจของเรา ถ้ามีความเชื่อปักลงไปตรงนี้ นี่ความเชื่อปักขึ้นไป ศรัทธาเกิดขึ้น ปัญญาในความเชื่อนั้นมันปัญญาในศาสนา

ถ้าปัญญาในความเชื่อนั้นไม่ปักลงไป เวลาเราบอกเป็นความเชื่อ เราจะปฏิเสธกัน เห็นไหม ว่าถ้าเป็นความเชื่อแล้วมันจะเชื่อด้วยความงมงาย ถ้าเชื่อแล้วมันทำอะไรเราจะหลงทางไป มันคิดนี่กิเลสก็พาคิด เชื่อในผลนั้นเชื่อจริงๆ เหตุเพราะเชื่อจริงๆ แล้วหวังผลจริงๆ แล้วก็วางไว้

ความอยากโดยสัญชาตญาณมันมีอยู่ทุกๆ คน อยากน่ะแต่อยากในผล เราอยากในผลไม่ได้อยากในเหตุ ธรรมะสอนไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ทำมา ๖ ปีนะ ออกแสวงหาอยู่ ๖ ปี องค์ศาสดาเป็นตัวอย่าง แล้วอย่างเรานี่จะให้ชุบมือเปิบ มันคิดเอาตรึกเอามันจะได้อย่างไร?

ตรรกะไม่สามารถพิสูจน์ธรรมะได้ ปัญญาในทางโลกนี้ ปัญญาที่ว่าเราลุ่มๆ ดอนๆ ปัญญารวบยอดด้วยกิเลส เห็นไหม กิเลสมันควบคุมรวบยอดอยู่ในปัญญาของเรา แล้วเราก็คิดเวียนอยู่ในนั้น มันถึงต้องทำความสงบให้ได้

ทำความสงบได้มันก็เหมือนความเชื่ออันหนึ่ง จิตมันเชื่อเพราะอะไร เพราะว่าพอมันเข้าไปความสงบ มันจะรู้เลยว่า อ้อ.. ความรกรุงรังของใจที่มันรกรุงรังของใจที่ความทุกข์ยาก เวลามันสลัดออกไป ใจใสสะอาด ใจวางวางได้อย่างไร? เห็นไหม มันก็เป็นความเชื่อ เป็นปัจจัตตังด้วย รู้จำเพาะตนขึ้นไปเลย ไอ้ตรงนี้ ความสะอาด เห็นไหม ศีลที่บริสุทธิ์จะให้เกิดปัญญาวิมุตติเลย ปัญญานี้สามารถพาวิมุตติไปได้ นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาในที่พระพุทธเจ้าสั่นสะเทือนที่สุดนะ ภาวนามยปัญญา

สุตมยปัญญา ศึกษาเล่าเรียนมา ศึกษาขนาดไหนมันปัญญาของเรา มันรวบยอดด้วยกิเลส มันลังเลสงสัย ปริยัติเรียนไปถึงกี่ประโยคมันก็สงสัยไปหมด สงสัยว่ามรรคผลมีจริงไหม? แล้วเวลาคำพูดมันเป็นไปได้ไหม?

แม้แต่เอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาวิเคราะห์วิจัยไง ตามตำราที่บอกว่า “เลียนแบบจับหญ้าคา เห็นไหม ลูบขึ้นมามันจะบาดตัวเอง” เพราะศึกษาแล้วก็ลังเลสงสัย ศึกษาแล้วก็ลังเล แล้วความเชื่อมันเกิดขึ้นไม่ได้ ปัญญามันโดนรวบยอดไว้ด้วยกิเลส มันจะเป็นอย่างนั้นไป

ถึงว่าถ้าเราจะให้เรานะ ให้ของขวัญเรา เราต้องเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อจริงๆ เชื่อในจริงๆ นะ เพราะแก้วสารพัดนึก ทำไมถึงเชื่อพระสงฆ์ด้วยล่ะ?

เพราะพระสงฆ์ที่รู้ตามธรรมนั้นมี ถึงจะเป็นอริยสงฆ์ สิ่งที่จะรู้อริยสงฆ์ได้ต้องรู้ธรรม ถ้าไม่รู้ธรรมไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันก็ลังเลสงสัยเหมือนเรา เราก็ลังเลสงสัยเหมือนกัน แต่ถ้าเห็นจริงอันนั้น พอเห็นจริงเขาก็ชี้นำได้ เห็นไหม บอกแนวทางได้ บอกให้ทางนี้เราเข้าไปได้

ทีนี้ถึงตรงนั้น สุดท้ายแล้วการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราทำจริงแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะรวมอยู่ที่ใจของเรา พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ แต่พุทธะนั้นตัวพุทธะเองเป็นตัวยอดของความคิด ตัวพุทธะเองผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เบิกบานจริงๆ เบิกบานในการว่าเบิกบานแล้วก็เหี่ยวเฉาไปตามตลอด เบิกบานขึ้นมา สว่างไสวขึ้นมาแล้วก็จะมัวหมองไปตลอด มันยังไม่ถึงความจริงไง มันข้ามพ้นทั้งผู้รู้ ข้ามพ้นทุกอย่าง แต่ผู้รู้นี่ยืนยันว่าผู้รู้คือหัวใจของเราไง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันเข้าใจมันก็เบิกบาน มันสุขใจมันก็พอใจ

แต่ “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส” ผู้รู้นี้ต้องโดนทำลายทั้งหมด มันพ้นจากผู้รู้ไป พ้นจากสภาวะต่างๆ ไป พ้นจากธรรมชาติ พ้นจากทุกอย่างไปทั้งหมด ธรรมะเหนือทุกอย่าง เหนือธรรมชาติทั้งหมด

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่เป็นที่พึ่งของเรา ฟังสิ! เป็นที่พึ่งของเราแล้วพอใจ ใจเราถึง เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสียเอง เห็นไหม จิตนี้เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันข้ามพ้นจากสภาวะทั้งมวลไปหมดเลย เหนือธรรมชาติ เหนือทุกอย่าง

ถ้าเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติธรรมะนี้เป็นธรรมะฝ่ายเหตุ ธรรมะฝ่ายก้าวเดิน ศีล สมาธิ ปัญญาในมรรค ๘ เป็นฝ่ายก้าวเดิน อันนี้เป็นเหตุ เหตุให้ใจนั้นถึงตรงนั้นไง แต่จริงๆ ตรงนั้นมันเป็นเป้าหมายใช่ไหม?

แต่เริ่มต้นวันนี้วันปีใหม่ งานของเรางานทางโลกเราก็ทำของเราทางโลก งานแสวงหา งานพึ่งพาอาศัยของร่างกาย ร่างกายต้องอาศัยอาหาร อาศัยปัจจัย ๔ เป็นที่พึ่งอาศัย แต่หัวใจมันจะมีมากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลามันทุกข์ขึ้นมานะ สิ่งนั้นกองอยู่ข้างหน้านั่นน่ะ แล้วตัวเองก็ทุกข์ อาจารย์บอกว่า “ขึ้นไปนอนอยู่บนกองน้ำแข็งก็ไปร้อนอยู่บนนั้น”

เวลาหัวใจมันทุกข์สิ่งนั้นช่วยไม่ได้ สิ่งนั้นเป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นที่อาศัยของการดำรงชีวิตของมนุษย์เท่านั้น มนุษย์ต้องอาศัยสิ่งนี้ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยไป ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติไม่ให้หาปัจจัย ๔ ไง ปัจจัย ๔ ตามมีตามได้ แต่อย่างอื่นแล้วต้องหาขึ้นมาของเรา ใจของเราต้องพ้นให้ได้ นี่ให้เชื่อตรงนั้น

ถ้าเรามีความเชื่อ เราปักใจเชื่อนะ ใจเราเชื่อมั่นขึ้นมา การกระทำมันก็ง่ายขึ้น อย่างที่ว่าเมื่อกี้ ถ้าเราไม่เชื่อ ปัญญามันหมุนไปเป็นปัญญาโลกียะทั้งหมด ปัญญานี้โดนรวบยอดด้วยกิเลส มันยังโดนรวบยอดด้วยกิเลส

ถ้าปัญญาที่มีสมาธิขึ้นมาแล้ว สมาธินี่ทำให้กิเลสนี่เบาบางลง คำว่า “กิเลสเบาบางลง” อัตตานี่มันน้อยลง ความคิดเดิมของเราคิดอยู่อย่างนี้ แต่พอมันว่างขึ้นมามันจะมีความคิดใหม่แย้บ ออกมา ความแย้บออกมานั่นคือภาวนามยปัญญามันเริ่มแสดงตัวออกมา พอมันแย้บออกมา ภาวนามยปัญญาเท่านั้นฆ่ากิเลส เราฟังแต่ว่าปัญญาฆ่ากิเลสๆ ก็อยากหาปัญญากัน แต่ปัญญานี่เป็นปัญญาเชือดคอตัวเองหรือปัญญาส่งเสริมตัวเอง?

ฟังให้ดีนะ! ปัญญาเชือดคอตัวเองมันไม่เข้าใจตัวเอง มันคิดของมันเอง มันจินตนาการของมันเองแล้วทำไป มันเชื่อมั่นตัวเองมันก็ทำผิดไป ใครว่าตัวเองไม่รักตัวเอง? ทุกคนต้องรักตัวใช่ไหม? ถ้าตัวคิดตัวต้องถูก พอถูกมันก็ทำเต็มที่ พอทำเต็มที่มันก็ผิดเข้าไปเต็มที่เลย แล้วก็พลาดไปเต็มที่เลย

แต่ถ้าเป็นธรรมขึ้นมา มันต้องมีเบรกมีห้ามล้อไง ถ้ามีเบรก เห็นไหม สิ่งที่มีเบรก รถนี่ถ้าไม่มีเบรกวิ่งไม่ได้หรอก มันจะเข้าโค้งไม่ได้ถ้าไม่มีเบรก เราเห็นแต่คันเร่ง รถนี่วิ่งได้คันเร่งสำคัญที่สุด แต่เบรกไม่มีใครดู

นี่ก็เหมือนกัน สติสัมปชัญญะ การไตร่ตรอง เห็นไหม สติของเรา ที่ระลึกของเรา สติระลึกชอบ สมาธินี่ยับยั้งไว้แล้วดูไปๆ ถ้ามันถูกทาง คันเร่งเป็นอัตโนมัติ เราก็เหยียบออกไปๆ มีเบรกมีคันเร่งเราก็ไปได้ เราจะมีแต่คันเร่งนะ เร่งเท่าไรเลยอยากได้อยากเป็นอยากได้อยากดี แล้วมันก็ลงข้างทางหมดนะ มันไปไม่ถึงที่เป้าหมายหรอก

แต่เราทำสมาธิขึ้นมา ทำสมาธิหาความสุขใส่ตัวนี่ว่าอันนี้เป็นการเนิ่นช้า อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชำระกิเลส แต่มันหนุนกันขึ้นมา มันเป็นพื้นฐานที่เราต้องรองรับกันขึ้นมาๆ ถ้าไม่มีพื้นฐานอันนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ?

มันถึงว่าเป็นไปตามธรรม มัคคอริยสัจจัง ศีล สมาธิ ปัญญาต้องหมุนเวียนไป มันถึงจะเป็นธรรมจักร ธรรมจักรนั้นมันจะเกิดขึ้นมาจากการสะสม การเชื่อของเรา ไม่มีใครสามารถสร้างให้ใครได้ ทุกดวงใจต้องสร้างจากดวงใจของตัวเองขึ้นมา เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ เห็นไหม ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอกเลย อยู่ที่ใจ

แล้วใจที่มันสร้างขึ้นมา เป็นนามธรรมก็แล้วแต่ พอสร้างขึ้นมานะ มันจะเป็นรูปธรรมขึ้นมาเลย มันจะเห็นเลยว่าสมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาก้าวเดินไปอย่างไร สติระลึกๆ อย่างไร มันจะจับต้องได้ มันจะหมุนเวียนเข้าไป นั้นคือตัวธรรมจักร นั่นธรรมจักรของใครของเขา ของใครของมันที่เกิดขึ้น สร้างขึ้นมาแล้วหมุนเข้าไปชำระเข้ามาภายใน

เกิดจากความเชื่อของเรานะ ถ้าเราไม่เชื่อหรือเราเชื่อครึ่งๆ กลางๆ มันง่อนแง่น ถ้าเราเชื่อจริงๆ ของขวัญที่ควรจะให้กับตัวเองคือความเชื่อในพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งได้จริง ไม่ใช่พึ่งเฉพาะโลกนี้โลกเดียว พึ่งโลกหน้าด้วย ทำบุญกุศลไปเกิดโลกหน้า

ถ้าทำชำระกิเลสสิ้นไป จะเห็นว่าดวงใจนี่หลุดออกไปจากวัฏฏะ แล้วใจที่มันหมุนเวียนตายไปวัฏฏะที่เขาหมุนเวียนกันไป เขามีเชื้อไขเพราะเหตุไร เราชำระเชื้อที่มันเกาะในวัฏฏะแล้วต้องหมุนเวียนไป ชำระจนสิ้นออกไป แล้วจิตนี้เป็นอิสระออกมา ทำไมจะไม่เห็นตามความเป็นจริงล่ะ? แล้วใจดวงไหนเป็นผู้เห็น?

ใจดวงเราที่เราเป็นอยู่ ที่เราตั้งศรัทธาความเชื่อเราอยู่นี่จะเห็นโดยปัจจัตตัง ถ้าไม่เห็นชำระกิเลสไม่ได้ ผู้ที่เห็นเองรู้เองชำระกิเลสได้เองตามคำชี้นำของพระพุทธเจ้า อันนั้นถึงว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ นั้นคือของขวัญของเรานะ ให้กับตัวเอง เอวัง